วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Reflective learning log (week 9)

       สวัสดีวันอังคารที่ 31/12/56  วันนี้เป็นสุดท้ายของปี แต่ไม่ใช่วันสุดท้ายของการเขียนบล๊อคอย่าแน่นอน ฮ่าๆๆๆ
      วันนี้อาจจะเป็นวันที่หลายๆคน หลายๆครอบครัว กินเลี้ยงสังสรรค์กันอย่างมีความสุข หรือบางคนอาจจะรอนับถอยหลังกันในคืนนี้อย่างใจจดใจจ่อ แต่สำหรับตัวฉันคืนนี้ฉันตั้งใจจะไปสวดมนต์ข้ามปี เพื่อต้อนรับสิ่งดีๆสิ่งใหม่ๆเข้ามาในชีวิต^^
      สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้ก็คือ การมองทุกอย่างด้วยใจที่เป็นสุข ชีวิตเราก็จะมีแต่ความสุข มีรอยยิ้ม และการที่เรามอบความสุขให้กับผู้อื่นก่อน เราก็จะมีความสุข
      ความรู้ใหม่ สำหรับวันนี้ ฉันได้สืบค้นเกี่ยวกับเรื่องแนวการแต่งกาย เพราะฉันเป็นคนที่ชอบแต่งตัว แล้วอีกอย่างในช่วงเทศกาลแบบนี้ คนส่วนใหญ่อาจจะต้องไปงานปาร์ตี้ กินเลี้ยงปีใหม่กัน อาจจะมีการกำหนดตรีมงานการแต่งกาย จากการค้นคว้า ทำให้ฉันได้ทราบว่่า สีของเสื้อผ้ามีส่วนช่วยให้ผู้สวมใส่ มีเสน่ห์ สดชื่น แจ่มใส สมวัย เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้พบเห็น และ เกิดความชื่นชอบ นอกจากนั้น ยังเพิ่มความสบายใจ มั่นใจให้แก่ผู้สวมใส่ด้วย

สีของเสื้อผ้าที่สวมใส่  เป็นส่วนช่วยเสริมทำให้ผู้สวมใส่เป็นผู้มีบุคลิกภาพที่ดี เข้าสังคมได้มีความมั่นใจ และ ยอมรับได้โดยง่ายของบุคคอื่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจ แต่ถ้าหากคุณไม่รู้จักเลือกสีของเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับผิวพรรณและรูปร่างของตน นอกจากคนสวย คนหล่อ จะกลายเป็นคนไม่สวย ไม่หล่อ หมดเสน่ห์ไปเลยก็เป็นได้ และ จากคนที่มีหน้าตาพอดูได้ก็อาจกลายเป็นคนขี้เหร่ไปเลยก็ได้คะ

      เนื่องจากพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันปีใหม่ ฉันก็อยากจะอวยพรให้ทุกท่านมีแต่ความสุขความเจริญ  ขอให้ประสพพบเจอแต่สิ่งดีๆตลอดทั้งปี ขอให้นับจากนี้...อีก
12เดือน ขอให้มีแต่ความสุข
52อาทิตย์ มีแต่ความสนุกสนาน
365วัน สุขสำราญ
8,760ชม ให้มีรักหวานๆผ่านเข้ามา
52,600นาที ให้มีแต่เรื่องดีๆ
3,153,600วินาทีให้คนจริงใจผ่านเข้ามา
ทุกเสี้ยววินาที ขอให้มีกินมีใช้ร่ำรวยเงินตรา 




นางสาว จิราพร โสตแก้ว 
รหัส 55113400266 ตอนเรียน E1 

หลักสูตรการประถมศึกษา คณะครุศาสตร์

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Reflective learning log (week 8)

      คลอดดดแล้วจ้าาาาา การโพสต์บล็อคการเรียน ของสัปดาห์ที่ 8  สำหรับสัปดาห์นี้ก็มีความแต่งตากจากทุกสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะว่าดิฉันรู้สึกว่าอยากไปเรียนค่ะ อยากจะไปฟังเพื่อนกลุ่งานบ้างอื่นนำเสนองานบ้างค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

              สิ่งที่ได้เรียนรู้วันนี้ คือ การเขียนชีวประวัติ การเขียนเรียงความ การเขียนพีธีการเปิด-ปิด และการเขียนคำขวัญ สิ่งที่สามารถสรุปได้คือ ความแตกต่างระหว่างการเขียนอัตชีวประวัติและชีวประวัติ การเขียนอัตชีวประวัติ คือ การเขียนเรื่องราวประวัติของตนเอง ส่วนการเขียนชีวประวัติ คือ การเขียนเรื่องราวประวัติของผู้อื่น เรื่องที่สองคือ วิธีการเขียนเรียงความ การเขียนเรียงความนั้นต้องประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ คือ บทนำ เนื้อเรื่องและสรุป เรื่องที่สามคือ การเขียนพีธีการเปิด-ปิด โดยมีเพื่อนออกมาแสดงบทบาทสมมติทำให้ดิฉันเข้าใจเนื้อหามากยิ่งขึ้น และเรื่องสุดท้ายคือ การเขียนคำขวัญ การเขียนคำขวัญที่ดีนั้น ต้องใช้ถ้อยคำ สำนวน ที่คล้องจอง  ชัดเจน ใช้คำน้อยแต่กินความมาก เมื่อผู้อ่านอ่านแล้วรู้สึกคล้อยตาม จูงใจ เตือนสติได้ 

              ความรู้ใหม่ คือการใช้ ว่าว่า กราบ และ กราบเรียน กราบเรียนจะสามารถใช้บุคคลคนเพียง 5 ตำแหน่งเท่านั้น นั่นก็คือ 1 นายกรัฐมนตรี 2.ประธานองคมนตรี 3.ประธานรัฐสภา 4.ประธานสภาผู้แทนราษฎร 5.ประธานศาลฎีกา เป็นต้น 


               ข้อเสนอแนะ ชอบที่อาจารย์ให้อิสระกับนักศึกษาในการนำเสนองาน การเรียนในวันนี้สนุกสนาน และได้ความรู้มากๆเลยค่ะ สุดท้ายนี้ขอกล่าวคำว่า "Merry X'mas And Happy New Year...."  ล่วงหน้านะค่ะ เพื่อนๆชาวบล็อค เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพกันถ้วนหน้านะคร้า แล้วพบกันใหม่ ปีหน้าคร่าาาาา >< 


นางสาว จิราพร  โสตแก้ว
รหัส 55113400266 ตอนเรียน E1












วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อัตชีวประวัติ

   
         จิราพร.... เด็กหญิงลูกแม่ค้าขายผักในตลาด ย่านพัฒนาการ  ใครๆก็รู้จักฉันป็นอย่างดี ในนาม ว่า "จูน" ฉันถูกเลี้ยงดูแบบต้องช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เล็ก ต้องแต่งตัวไปเรียนเองตั้งแต่ ป.1 หาข้าวกินเองก่อนไปโรงเรียนทุกเช้า  เพราะถ้าหากจะคอยให้พ่อแม่มาดูแลเห็นทีจะไม่ได้ พ่อกับแม่ของฉันนั้นต้องตื่นและออกไปทำงานตั้งแต่ ตี 4 ทิ้งให้ฉันอยู่ในห้องเช่าเล็กๆในเมืองที่เจริญด้วยเทคโนโลยี บางวันฉันก็ออกไปตลาดด้วย ไปช่วยขนผักเล็กๆน้อยๆเท่าที่เด็กวัยประถมศึกษาจะถือได้ ชีวิตของเด็กคนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่น่าพิศสมัยมากนัก ตอนเช้าต้องมาตลาดก่อนไปโรงเรียนทุกวัน พอตกเย็นเลิกโรงเรียนมาก็ต้องมาช่วยผู้แม่เก็บร้าน ช่วงชีวิตของฉันเป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่ประถมศึกษาชั้นปีที่ 1 จนถึงปัจจุบันนี้
       แต่ใครจะรู้กันเล่า ว่าการได้เกิดมาเป็นเด็กตลาดนั้น ได้กำไรชีวิตมากมาย การที่ฉันใช้ชีวิตอยู่ในตลาดต้องบอกเลยว่าทำให้ฉันมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน และฉันก็ไม่เคยรู้สึกอายที่มีแม่เป็นแม่ค้า หรือว่าเป็นเด็กตลาด ฉันโชคดีมีเพื่อนในวัยเดียวกันที่อยู่ตลาดเหมือนกัน ฉันเปรียบเสมือนลูกพี่ของเด็กๆทุกคนในตลาด ที่ไปไหนต้องมีลูกน้องเดินตามเป็นขบวน ใครๆก็ให้ความเคารพฉันเสมอนิสัยฉันออกแนวชอบทำอะไรลุยๆ ซนเป็นม้าดีดกระโหลก บ้างก็ว่าฉันนั้น แก่นเซี้ยว เปรี้ยวซ่า ฉันเป็นคนไม่กลัวใคร เพราะการที่เราขายของนั้นเราต้องพบเจอกับผู้คนมากมายหลากหลายรูปแบบ ด้วยความที่พ่ออยากได้ลูกชาย และฉันซึ่งเป็นลูกสาวคนโตไม่ได้เป็นผู้ชายอย่างที่พ่อหวัง แต่พ่อก็อยากให้ลูกคนนี้นั้นมีความเข้มแข็ง อดทน และทำอะไรหลายๆอย่างได้ที่เป็นงานของผู้ชาย พ่อจึงอยากให้ฉันเป็นเสาหลักของบ้านเวลาที่พ่อไม่อยู่ จะได้มีคนดูแลแม่กับน้อง พอฉันเข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ฉันต้องเดินทางไปโรงเรียนเอง ซึ่งบ้านฉันกับโรงเรียน ก็ไกลพอสมควร ดังนั้นสิ่งที่ฉันต้องทำก็คือการหัดขับรถ จักรยานยนต์  !! จากเด็กวัยประถมศึกษาเพิ่งจะเริ่มเข้า ม.1 การขับรถถือเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นที่แฝงไปด้วยความกลัวเป็นอย่างมาก   ถึงแม้จะเป็นเพียงการขี่มอเตอร์ไซต์ก็ตาม ฉัันใช้เวลา หัด อยู่ 1 สัปดาห์ โดยมีพี่ชายลูกลุงเป็นคนหัดให้ เมื่อคิดว่าตัวเองมีความสามารถพอที่จะขับได้แล้ว ก็ต้องมาสอบขับกับพ่อ ต้องให้พ่อเป็นผู้อนุญาติว่าสามารถขับในท้องถนนได้หรือยัง     วันที่ต้องสอบขับรถโดยที่ผู้ซ้อนคือพ่อผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการขับรถ  ฉันแทบอยากจะกระโดดลงจากรถ 2 ล้อ ฉันตื่นเต้นมาก สั่นไปหมด ฉันเป็นคนที่กลัวพ่อมาก กลัวว่าจะทำอะไรผิด กลัวว่าจะทำอะไรไม่ถูกใจพ่อ แต่แล้วฉันก็สอบผ่านเอาชนะความกลัวทั้งหมดมาได้ ฉันสามารถขี่มอเตอร์ไซต์ออกถนนใหญ่ได้ ฉันเป็นคนที่ชอบความเร็วเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เวลาที่พ่อขับรถเร็วๆฉันรู้สึกสนุกทุกครั้ง ความหวาดเสียวบนท้องถนนกับตัวฉันมันกลายเป็นของคู่กันไปแล้วซิ่ ฉันขี่มอเตอร์ไซต์ไปโรงเรียนทุกวันตั้งแต่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จนเรียนจบชั้นปีที่ 6  และฉันก็ไม่เคยมีประวัติการขี่รถล้มเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฉันรู้สึกมีความสุขทุกครั้งเวลาได้บิดแหนรถไปข้างหน้า มุ่งสู่จุดหมายปลายทางที่หวัง     บางไหนอารมณ์ดีฉันก็ขับรถไปแบบไม่เร่งรีบ แต่หากวันไหนฉันโกรธและกำลังนั่งคร่อม อยู่บนอานเจ้า 2 ล้อเครื่องละก็ ฉันก็ขับแบบไม่่คิดชีวิตเลยทีเดียว  จากระยะเวลาหลายปีที่ขี่รถมาก็มีพัฒนาการและทักษะในการขับมาเรื่อยๆจนสามารถเรียกว่าฉันเป็นคนที่ขับรถมอเตอร์ไซต์เก่งคนนึงเลยหล่ะ ฉันเคยฝันเล่นๆอยากจะเป็นนักแข่งรถสาวที่สวยและเซ็กซี่ แบบในหนังฮอลลีวูด ฮ่าๆๆ  ใครๆที่เจอฉันขับรถก็จะมาชมที่ร้านตลอด ขับรถเป็นด้วยเหรอเป็นผู้หญิงเก่งจังเลย สารพัด คำชมฯ ซึ่งนอกจากคำชม ก็มีบางคำถาม ว่าขับรถยนต์เป็นหรือยัง จะเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 แล้วนะ    เด็กในวัย 18 ปีบางคนขับรถยนต์เป็นแล้ว แล้วเราล่ะ อายุก็เท่าเขา ทำไมเราจึงขับไม่เป็น ทำให้ฉันกลับมาคิดว่าทำไมเราถึงไม่หัดขับรถยนต์  
         วันเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆมีคนมาคุยเรื่องรถกับฉันมากๆเข้ามากเข้า ฮอร์โมนในร่างกายฉัน ก็ทำให้ฉันก็อยากขับมากขึ้น   ฉันผู้ซึ่งไม่เคยขับรถยนต์มาก่อน ก็ขอให้ลุงสอนขับ ลุงตอบตกลง เท่านั้นแหละ ฉันกระโดดขึ้นฝั่งคนขับทันที  เท้าเหยียบคันเร่ง มือหนึ่งจับพวงมาลัย มือหนึ่งจับเกียร์โดยมีผู้เป็นลุงกุมมือใส่เกียร์ให้อีกที รถกระบะคันใหญ่ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้าน ฉันขับมาได้ไกลพอสมควรทำตามเสียงที่ได้ยินที่ลุงจะคอยบอกตลอดเส้นทางที่รถแล่นผ่านมาเป็นทางตรง แต่พอถึงทางโค้งอยู่ๆรถก็ดับลง ฉันลองสตาร์ทใหม่อีกครั้ง รถก็กระตุกและดับลงอีก ฉันก็ไม่ย่อท้อลองพยายามอีกครั้ง และแล้วมันก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น รถที่ฉันกำลังขับพุ่งไปชนเสาไฟฟ้าอย่างแรงและกำลังจะดิ่งลงคลองเสียแล้ว แต่โชคช่วยรถหยุดความเร็วได้ก่อน   ฉันจึงไม่ตกคลอง หลังจากที่ตกใจอยู่สักพักฉันก็ได้สติ พยายามหาทางออกว่าจะทำอย่างไรดี ฉันจึงโทรหาแม่ให้มาช่วยดูสถานการณ์ และแม่ก็ตัดสินใจที่จะบอกพ่อ ฉันกลัวมาก เพราะพ่อของฉันเป็นคนที่รักรถมาก พ่อขับรถมามากกว่า 40 ปี รถของพ่อไม่เคยเสียหาย หรือเป็นรอย แต่ฉันกลับทำให้รถคันโปรดของพ่อพังยับเยิน ฉันเป็นลูกที่แย่มาก เมื่อที่ประกันมาเคลียร์สถานการณ์และรถได้ถูกส่งเข้าศูนย์เป็นเวลานานถึง 3 เดือน หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พ่อโกรธฉัน พ่อไม่ค่อยคุยกับฉัน ฉันเองก็เข้าหน้าพ่อไม่ติด เพราะฉันยอมรับว่าฉันผิด น้ำใสๆ ไหลรินออกจากตาอาบแก้มฉันอยู่บ่อยครั้ง ฉันแอบร้องไห้ พยายามที่จะหาวิธีทำให้พ่อหายโกรธกับความผิดที่ลูกคนนี้ได้ทำลงไป แต่ฉันก็เลือกที่ใช้ให้เวลาเป็นเครื่องเหยียวยาจิตใจ เมื่อรถซ่อมเสร็จ พ่อก็ยังมีขุ่นเคืองฉันอยู่เล็กน้อย พ่อพูดบ่อยครั้งว่า รถเข้าศูนย์มายังไงมันก็ไม่เหมือนเดิม และตัวฉันเอง
ก็เสียใจทุกครั้งที่ได้ยิน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นับตั้งแต่วันนั้น 18/04/55 จนถึงวันนี้ ฉันยังไม่ได้ลองหัดขับรถยนต์อีกเลย ฉันก็ยังคงได้ขับแต่รถมอเตอร์ไซต์ดั่งเฉกเช่นเดิม

        ชีวิตในอนาคตของฉัน ฉันก็หวังว่าจะได้เรียนขับรถ และขับรถยนต์เป็นอย่างที่หวังไว้ ฉันจะเป็นคนหนึ่งที่ขับรถอย่างระมัดระวังและถูกกฎจราจร ที่ฉันอยากจะขับรถเป็นเพราะฉันจะได้สามารถดูแลแม่ดูแลน้องและดูแลตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้ชาย!!




นางสาว จิราพร โสตแก้ว 
รหัส 55113400266 ตอนเรียน E1






             





วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Reflective learning log (week 7)



             ย๊ะฮู้ๆๆๆ!!!!! และแล้วววสัปดาห์แห่งความตื่นเต้นก็มาถึงแล้ววว สัปดาห์ที่ต้องนำเสนองานในหัวข้อทักษะการเขียนเพื่อเล่าเรื่อง อาจารย์ ให้เวลานำเสนอตั้ง 40 นาที โฮ้โห ทีนี้กลุ่มดิฉันจะเอาเนื้อหาอะๆไรไปนำเสนอหล่ะค่ะเนี่ยยย -_-" 

                สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้หลังจากที่หยุดไปนานแสนนาน นั่นก็คือการเรียนรู้ การเขียนในรูปแบบต่างๆ โดยเพื่อนๆในห้องออกมานำเสนอหัวข้อที่กลุ่มตนเองได้รับ ซึ่งวันนี้เพื่อนได้ออกมานำเสนอทั้งหมด 3 เรื่อง คือ 1.การเขียนอัตชีวประวัติ 2.การเขียนบทวิจารณ์ และ3.การเขียนเพื่อเล่าเรื่อง ซึ่งเป็นกลุ่มของดิฉันเอง จากการนำเสนอของเพื่อนๆแต่ละกลุุุ่ม ทำให้ดิฉันได้เข้าใจในเนื้อหามากขึ้น 
ทั้งยังมีความสนุกสนาน เพื่อนๆในห้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมกับกลุ่มที่ออกมานำเสนอเป็นอย่างดี

           


จากการฟังเพื่อนนำเสนอ สามารถสรุปได้ว่า 


1. การเขียนอัตชีวประวัติ  คือ  การเขียนเล่าเรื่องราวของตนเอง

2. การเขียนบทวิจารณ์  คือ การเขียนเพื่อพิจารณาแยกแยะ หาข้อดี ข้อเสีย ของสิ่งที่วิจารณ์ 

3.การเขียนเพื่อเล่าเรื่อง  คือ การเขียนเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ เรื่องราวที่ประทับใจ ที่เกิดขึ้นกับผู้เล่าเอง โดยอาจจะใส่ความรู้สึก ของผู้เขียนลงไปด้วยเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจอารมณ์ที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ

           ความรู้ใหม่ในสัปดาห์นี้ก็คงจะเป็นเรื่อง  ที่ว่าการที่เราเขียนไดอารี่ นั้นจัดเป็นการเขียนอัตชีวประวัติด้วยเช่นกัน 


             ข้อเสนอแนะ อยากจะเรียนในรูปแบบการเรียนการสอนแบบนี้ตลอดไปค่ะ เพราะเรียนแล้วไม่เครียด สนุกสนาน เพื่อนๆในห้องมีส่วนร่วมในทุกๆกิจกรรม แถมยังได้ความรู้อีกด้วยค่ะ 




 นางสาว จิราพร โสตแก้ว 
รหัส 55113400266
ตอนเรียน E1


วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Reflective learning log (week 6)

           สวัสดีเดือนแห่งความวุ่นวาย ทั้งๆที่เดือนนี้น่าเป็นเดือนแห่งความปลื้มปิติ ที่คนทั้งประเทศรอคอย แต่กลับเกิดเรื่องราวมากมายในประเทศของเรา
 วันนี้เป็นวันที่ ๐๙/๑๒/๕๖ วันที่คนไทยพร้อมใจกันออกร่วมกันเดินขบวน เป่านกหวีด โบกธงชาติ เพื่อแสดงจุดยืนเกี่ยวกับความต้องการทางการเมือง ส่งผลให้ไม่ได้ไปเรียน นอกจากเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองของบ้านเรา ชีวิตของชั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรใหม่ๆ วันนี้เพื่อนๆหลายๆคนอาจจะได้หยุดพักผ่อน บางคนอาจจะได้ทำการบ้านอยู่บ้านสบายๆ บางคนไปเที่ยว แต่สำหรับตัวฉันแล้ว วันหยุดของฉันก็ต้องช่วยแม่ขายของ ตั้งแต่เช้าจนเย็น พอตกดึกก็ทำการบ้านที่มีมากมายจน  จะเอาตัวไม่รอด ฮ่าๆๆ
ความรู้ใหม่ ก็คงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ นโยบายและแผนพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ได้ค้นหาข้อมูลในการนำมาทำงานกลุ่ม   ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาให้นักเรียนทุกคนบรรลุถึงศักยภาพสูงสุดในตน มีความรู้และทักษะการอ่านเขียนและคิดคำนวณที่เข้มแข็ง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้และการดำรงชีวิตในอนาคต การศึกษาขั้นพื้นฐานจึงเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และคุณภาพชีวิตของประชากร กล่าวคือประเทศไทยได้มีการพัฒนาอย่างเข้มแข็ง มีความเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง แรงงานส่วนใหญ่อ่านออกเขียนได้และลดปัญหาความยากจนได้อย่างน่าพึงพอใจ
ก็อยากจะฝากไว้นะค่ะ เรื่องการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้เรื่องใดๆ อยากให้ประเทศไทยกลับมารักสามัคคีกันเหมือนสมัยก่อน แล้วประเทศไทยก็จะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ขอบคุณค่ะ




นางสาว จิราพร  โสตแก้ว 
รหัส 55113400266 
ตอนเรียน E1

วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Reflective learning log (week 4-5)

 สวัสดีคร้าาเพื่อนๆๆชาวบล็อคที่น่ารักทุกท่านนนน ก่อนอื่นต้องขอสารภาพบาปก่อนว่า เป็นคนที่ขี้ลืม บวกกับขี้เกียจมากๆๆๆ ลืมแล้วลืมอีกว่าจะเขียนบล็อค จนทำให้มาเขียนล่าช้าขนาดนี้ TT
       สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่จะต้องมีการเรียนการสอนนั่นคือ สัปดาห์ที่ 4 และ 5 แต่เราก็ไม่ได้เรียน  เหตุเพราะมีเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง ที่ต่างฝ่ายต่างก็มีความคิดเห็นที่ต่างกัน   ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายนะค่ะที่ไม่ได้มาเรียน แต่บอกเลยว่า แอบดีใจนิดๆที่ได้หยุดเรียนต่อเนื่อง แหะๆๆ

        อาจารย์เคยบอกไว้ว่าถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เรียนในห้องเรียนแต่เราก็สามารถที่จะเรียนรู้นอกห้องเรียนได้เพราะการเรียนรู้นั้นไม่มีคำว่าสิ้นสุด

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในช่วงตลอด 2 สัปดาห์นี้ ก็ไม่มีอะไรมากค่ะเพราะว่าวันๆๆดิฉันก็ช่วยแม่่ขายของที่ตลาด ต้องตื่นแต่ตี 4 เพื่อมาเปิดร้าน ดิฉันได้พบผู้คนมากหน้าหลายตา เจอการต่อรองสินค้าหลากหลายรูปแบบ จนบางครั้งเกือบจะระงบอารมณ์ของตัวเองไม่ได้เลยทีเดียว

นอกจากจะช่วยงานแม่แล้ว ความรู้ใหม่ที่ได้สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเรา คนไทยไม่รักกัน คนไทยไร้ซึ่งความสามัคคี มีแต่การแก่งแย่งชิง แข่งขันกันเพื่อเอาชนะ คนไทยหันมาฆ่ากันเอง ดิฉันรู้สึกหดหู่และเสียใจทุกครั้งเวลาดูข่าวว่าว่าขณะนี้มีการปะทะกันระหว่าง กลุ่มคน 2 ฝ่าย นอกจากนี้ดิฉันยังคิดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในประเทศไทยของเรา

ข้อเสนอแนะ คงจะมีหลายเสียง หลายความคิดเห็น แต่ดิฉันเชื่อว่าเสียงส่วนใหญ่ก็คงอยากจะเห็นคนไทยกับมารักกัน แผ่นดินไทยกลับมาเป็นแผ่นดินที่เต็มไปด้วยมิตร ไมตรีจิตที่มีให้แก่กัน มาเป็นสยามเมืองยิ้มที่ใครๆก็อยากจะมาเที่ยวบ้านเรา

                   สุดท้าย และท้ายที่สุด..."ฉันคือประชาชนของพระราชา ร.๙ อยากเห็นคนไทยรักรัก "

 








ขอบคุณด้วยใจที่ทุกคนอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะค่ะ 

นางสาว จิราพร โสตแก้ว 
รหัส 55113400266
ตอนเรียน E1