สวัสดีสัปดาห์ที่3 เจอหน้ากันปุ๊บ !!อาจารย์ก็ได้บอกวัตถุประสงค์ของการเรียนในคาบนี้ปับ!! ว่าเมื่อเราเรียนหมดชั่วโมงแล้วเราต้องสามารถให้ความหมายของการเขียนได้,ต้องสามารถยกตัวอย่างภาษาเขียนีะดัยต่างๆได้ และต้องระบุคำที่เป็นแบบแผน แทนคำที่ใช้ผิด/ไม่เป็นแบบแผน เป็นต้น แค่ฟังชื่อเรื่องที่ต้องเรียนในชั่วโมงนี้ ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าจะยาก แต่มันกลับตรงกันข้ามค่ะ ต้องบอกก่อนเลยว่า การเรียนการสอนในสัปดาห์นี้ สนุกมากๆ หัวเราะกันตลอดทั้งคาบเลยทีเดียว5555 แถมยังอัดแน่นไปด้วยความรูั ที่สำคัญเป็นการเรียนที่มีความสุข ไม่เครียด ไม่กดดัน ทำให้เรารู้สึกอยากเรียน เพื่อนๆอยากจะรู้หรือยังค่ะ ว่าวันนี้เราได้เรียนอะไรกันบ้าง??
เกริ่นไว้เยอะแล้ว เราไปดูกันเลยดีกว่าคร้าา
สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้ คือ ความหมายของการเขียน ซึ่งหมายถึง การถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึก ของผู้ส่งสารออกไปเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อสื่อความหมายให้ผู้รับสารเข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสาร
เมื่อเรารู้ความหมายแล้ว ก็ยังได้เรียนรู้เรื่อง ลักษณะของภาษาเขียน ภาษาปาก กึ่งทางการและทางการ และตัวอย่างการใช้ภาษา ความหมายโดยตรง และความหมายโดยนัย เช่น กล้วย ความหมายโดยตรง หมายถึงผลไม้ชนิดหนึ่ง แต่ความหมายโดยนัย อาจหมายถึง ง่ายๆ
เรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องก็คงจะหนีไม่พ้น เรื่องการเขียนคำที่เรามักจะเขียนผิดหรือใช้ผิด ซึ่งมักจะคุ้นเคยกันในชีวิตประวันแต่ยังใช้ผิดอยู่ เช่น กริยา หมายถึง คำที่แสดงอาการของนาม/สรรพนาม
กิริยา หมายถึง การกระทำ อาการที่แสดงออกมาด้วยกาย มารยาท เป็นต้น
วันนี้ดูเหมือนจะเรียนหลายเรื่องมาก แต่อาจารย์ก็ทำให้เรื่องที่ใครๆก็ว่ายากให้กลายเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว นอกจากหัวข้อที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ยังมี เรื่องการใช้ลักษณนาม การใช้สำนวน คำราชาศัพท์ และหลีกเลี่ยงคำหยาบ คำแสลง คำจากหนังสือพิมพ์ ภาษาถิ่น คำซ้ำที่ไม่เป็นแบบแผน คำศัพท์ยาก คำฟุ่มเฟือย คำความหมายกำกวม และคำย่อที่คนทั่วไปไม่รู้ ซึ่งเมื่อการยกตัวอย่างคำในแต่ละเรื่องนั้นก็ทำให้ห้องเรียนมีสีสัน ตอบกันถูกบ้างผิดบ้าง เรียกได้ว่าเป็นการเรียนเริ่มต้นสัปดาห์ด้วยความสุข
ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากการเรียนสัปดาห์นี้ คือ
ได้ทราบที่มาของคำว่า "ชักแม่น้ำทั้งห้า" ซึ่งมาจากเรื่อง พระเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร
(แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ)
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของคำว่า นิสิต กับ นักศึกษาว่า ทำไมถึงใช้ต่างกัน ทำไมแต่ละสถาบันเรียกแทนตัวผู้เรียนไม่เหมือนกัน แต่ก่อนดิฉันเคยเข้าใจว่า มหาวิทยาลัยที่ได้ใช้คำว่า นิสิตนั้น ได้มาเพราะการพระราชทาน แต่มาวันนี้รู้แล้วว่า นิสิตจะใช้กับมหาวิทยาลัยที่ศิษย์เล่าเรียนอยู่ในสำนัก ผู้อาศัย เป็นคำเรียกผู้เรียนในสถานศึกษาบางแห่ง ส่วน คำว่านักศึกษา หมายถึง ผู้มีความรู้สอบรู้สอบไล่ได้ไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งรับการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา
ข้อเสนอแนะ ก็ขอพูดเรื่องเกี่ยวกับบล็อคนะค่ะ ว่าเราจะทราบได้ยังไงว่า อาจารย์ได้อ่านบล็อคของนักศึกษาคนนี้แล้วในแต่ละสัปดาห์ อยากจะให้อาจารย์คอมเม้นติ-ชมบล็อคของนักศึกษาเกี่ยวกับวิธีการเขียน ขอบคุณค่ะ
นางสาวจิราพร โสตแก้ว
รหัส 55113400266 ตอนเรียน E1
คณะครุศาสตร์ สาขาการประถมศึกษา
บันทึกของการเรียนวันที่18/11/13